
เคยมีใครชักชวนท่านไปสูดโอโซนริมทะเลหรือในแหล่งท่องเที่ยวที่มีการประชาสัมพันธ์ว่ามีปริมาณโอโซนสูงติดระดับโลกบ้างไหม
ถ้าเคยลองมาทำความรู้จักกับโอโซนกันก่อน!
ความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ทำให้เรารู้ว่าโอโซนเป็นก๊าซที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติบนพื้นผิว
โลกและในชั้นบรรยากาศสูงขึ้นไป ที่เรียกว่า Lower
Stratosphere ในระดับความสูง 14.4-30.4 กม.
จากพื้นพิวโลก ก๊าซออกซิเจนมีออกซิเจนอะตอมอยู่รวมกัน 2 อะตอม
(O2) ในขณะที่ในรูปของโอโซนมีอยู่ 3 อะตอม
(O3) โอโซนมีประโยชน์และมีโทษขึ้นอยู่กับแหล่งที่เกิดโอโซนตามธรรมขาติเป็นก๊าซที่ไม่คงรูป
จะมีการเปลี่ยนแปลงกลับไปอยู่ในสภาพของก๊าซออกซิเจนในช่วง 10-20 นาที เป็นที่น่าสังเกตว่าสภาพอากาศที่แจ่มใสหลังจากเกิดพายุฝนฟ้าคะนองส่วนหนึ่ง
เป็นผลมาจากโอโซนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม
ในปัจจุบันมีการผลิตก๊าซโอโซนโดยกระแสไฟฟ้าแรงสูงผ่านอากาศที่มีก๊าซออกซิเจน
ทำให้โมเลกุลของออกซิเจนแตกตัวเป็นออกซิเจนอะตอม (O) และรวมตัวกับก๊าซออกซิเจนเป็นโอโซนมีสภาพเป็นก๊าซที่ไม่มีสี
ไปจนถึงมีสีน้ำเงิน มีกลิ่นฉุน

คุณสมบัติของโอโซน
โอโซนจัดเป็นตัวออกซิไดส์ (oxidizing agent) ที่แรงที่สุดที่อนุญาตให้นำมาใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน
โดยมีฤทธิ์สูงกว่าก๊าซคลอรีนถึง 51% และมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ได้เร็วกว่า
3.125 เท่าตัว สารอินทรีย์ที่มีอยู่ในเยื่อเมมเบรนของแบคทีเรียเมื่อทำปฏิกิริยากับโอโซนทำ
ให้ผนังเซลล์อ่อนแอและแตกออก ทำให้เซลล์ตาย
โอโซนสามารถเกิดปฏิกิริยากับสารอินทรีย์ส่วนใหญ่รวมทั้งสารอนินทรีย์
ทำให้เกิดการแตกตัวและสลายตัวในกระบวนการสลายตัวทางชีวภาพได้ง่าย
สารอินทรีย์บางชนิดทำปฏิกิริยากับโอโซนอย่างสมบูรณ์ได้คาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ
โอโซนในบรรยากาศปกป้อง
อันตรายที่เกิดจากรังสีอัลตราไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์
**ชั้นโอโซนในบรรยากาศมีประโยชน์ปกป้องอันตรายที่เกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์
ก๊าซโอโซนส่วนใหญ่บนพื้นผิวโลกเกิดจากการทำปฏิกิริยาของแสงแดดกับของเสีย (pollutant)
จากเครื่องยนต์ โรงงานผลิตพลังงาน
เครื่องผลิตไอน้ำในโรงงานอุตสาหกรรรม โรงงานผลิตเคมีภัณฑ์ รวมไปถึงจากอุตสาหกรรมต่างๆ
ที่เป็นต้นเหตุของมลภาวะมีการนำโอโซนไปใช้ประโยชน์ในการกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ในอากาศและน้ำ
ใช้ประโยชน์ในกระบวนการกำจัดของเสียในอุตสาหกรรม
ทำให้สารเคลือบไม้และหมึกพิมพ์แห้งเร็วขึ้น ขจัดกลิ่นในขนนก ใช้ฟอกสีในไข
รวมทั้งใช้ในการกำจัดราเมือกและแบคทีเรียในห้องเย็น
มีการจำแนกโอโซนเป็น oxidising biocide ใน L8 มีรายงานผลการทดสอบอย่างเป็นทางการของ Department of Environment ในคุณสมบัติที่เป็นไบโอไซด์ (biocide) โดยไม่มีความจำเป็นในการใช้สารไบโอไซด์
(biocide) ชนิดอื่นๆ มาประกอบการใช้
มีการใช้ประโยชน์โอโซนในการกำจัดเชื้อโรคในน้ำที่นำมาใช้ประโยชน์เพื่อการบริโภคมาตั้งแต่ปี
พ.ศ.2447 ในปัจจุบันยังคงมีการใช้ประโยชน์ในวัตถุประสงค์เดียวกันอย่างกว้างขวางโดย
เฉพาะในการกำจัดคราบแบคทีเรียและอะมีบาในระบบทำความเย็นด้วยน้ำ
ทั้งนี้ปริมาณและความเข้มข้นของโอโซนที่ใช้ขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำ อุณหภูมิ
และอัตราการหมุนเวียนของน้ำในระบบ
อันตรายของโอโซน
โอโซนจัดเป็นก๊าซพิษ การมีปริมาณโอโซนสูงมากผิดปกติในบางพื้นที่น่าจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าที่จะเป็นผลดี มีการกำหนดเกณฑ์ปริมาณความเข้มข้นสูงสุดที่ได้รับโดยเฉลี่ยไม่เกิน 0.1 ppm ในช่วงระยะเวลาของการทำงานนาน 8 ชั่วโมง
อันตรายจากการได้รับโอโซนเป็นประจำอาจจะเป็นอันตรายต่อปอด โดยเฉพาะในวัยเด็กที่ปอดกำลังพัฒนา อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับระบบสืบพันธุ์และพันธุกรรม อาจจะเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ ทำให้เกิดโรคปอดกำเริบ เช่น กลีบปอดพองลม และโรคหลอดลมอักเสบ ทำให้ภูมิคุ้มกันในระบบหายใจลดลง อาการหอบหืดและโรคหัวใจกำเริบ ลดปริมาณลมหายใจ รวมทั้งทำให้ปริมาณของเหลวในปอดเพิ่มขึ้นทำให้หายใจขัด
ก๊าซโอโซนทำให้เกิดอาการระคายเคืองในระบบหายใจ
ทำให้ไอระคายคอหรือแน่นหน้าอก ปวดศีรษะ ท้องเสีย แน่นท้อง มีอาการป่วยและอาเจียน
การสัมผัสโอโซนที่อยู่ในสภาพของเหลวที่มีความเข้มข้นสูงที่ผิวหนังหรือดวงตา
อาจจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง อาการไหม้รุนแรง ปวดแสบปวดร้อน
แหล่งอ้างอิง http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?topic=1978.0
ขอขอบคุณข้อมูลดีจากMy firstbrain ที่มา : วิชาการดอมคอม (สืบค้นวันที่ 14/02/2556 )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น